หม่อนไหม มีทั้งสิ้น 4 รายการ
ผลผลิตใบหม่อนต่อไร่สูงกว่าพันธุ์ม่อนน้อยในทุกฤดูกาลโดยให้ผลผลิตเฉลี่ย 3,600 กิโลกรัมต่อไร่ ต่อปี (สามารถเลี้ยงไหมได้ 8-9 กล่อง ได้ผลผลิตรังไหม 160-180 กิโลกรัม มูลค่า 16,000-18,000 บาท ต่อไร่ต่อปี) มีการแตกกิ่งหลังตัดแต่งดีกว่าหม่อนน้อย ก้านใบมีลักษณะใหญ่ยาวและแข็งทำให้เหมาะกับการเลี้ยงไหมแบบกิ่ง ใบมีลักษณะที่นุ่มหนาปานกลางทำให้เหี่ยวช้าหลังเก็บเกี่ยวสามารถเก็บไว้ได้นาน ใบหม่อนไม่ร่วงง่ายผลผลิตใบจึงสูงขึ้นและเก็บเกี่ยวได้นาน มีคุณค่าทางอาหารสูงใกล้เคียงกับหม่อนน้อย ขยายพันธุ์ได้ง่าย ต้านทานต่อโรคราแป้งได้ดี
ผลผลิต 742 รังต่อกิโลกรัม ไหมนครราชสีมาลูกผสม 60 ได้เปรียบไหมพันธุ์นครราชสีมาลูกผสม 1 ในด้านการตลาดเป็นอย่างมาก เพราะเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตรังไหมสีเหลือง เกษตรกรสามารถเลือกจำหน่ายให้โรงงานสาวไหมเส้นยืนหรือทำการสาวรังไหมด้วยตนเอง และจำหน่ายเส้นไหมพุ่งได้เพราะมีสีเหลืองเหมือนพันธุ์พื้นเมือง เป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของพันธุ์ที่ได้เปรียบในเชิงการค้า เพราะผลผลิตแปรรูปเป็นได้ทั้งไหมเส้นยืนและเส้นพุ่ง
ผลิตเป็นไหมเส้นยืนได้ ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองเกือบ 2 เท่า มีเส้นใยยาวกว่า 1,000 เมตร ในขณะที่ไหมพื้นเมืองมีความยาวไม่เกิน 350 เมตร และเมื่อเปรียบเทียบผลผลิตรังสดกับพันธุ์ นครราชสีมา 1พันธุ์นครราชสีมา 60-1 ให้ผลผลิตรังสด 505 กรัมต่อแม่ ในขณะที่พันธุ์ นครราชสีมา 1 ให้ผลผลิตรังสด 492กรัมต่อแม่ มีความเหมาะสมในการใช้เป็นแม่และหรือพ่อพันธุ์มีความแข็งแรงสูงกว่า เปอร์เซ็นต์เปลือกรังดีกว่าและน้ำหนักรังสดในการเลี้ยงไหม 1 แม่ ค่อนข้างสูงกว่า พันธุ์ นครราชสีมาลูกผสม 1
ผลิตเป็นเส้นยืนได้ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองเกือบ 2 เท่า มีเส้นใยยาวกว่า 1,000 เมตร ในขณะที่ไหมพื้นเมืองมีความยาวไม่เกิน 350 เมตร และเมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์ นครราชสีมา 2 พันธุ์ นครราชสีมา 60-2 เวลาในการเลี้ยงสั้นกว่าซึ่งจะทำให้ประหยัดแรงงานและใบหม่อนและเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยจากทุกแหล่งจะเห็นได้ว่าเปอร์เซ็นต์เปลือกรังของนครราชสีมา 60-1 ค่อนข้างสูงกว่าของพันธุ์นครราชสีมา 2 ผลผลิตรังสด 475 กรัม ต่อแม่